ประโยชน์ของวิตามิน ซี
เวลานี้คงเป็นกระแสนิยมเกี่ยวกับผิวขาวใส ชะลอวัย ไม่มีใครไม่รู้จักวิตามิน และคงจำกันได้ว่าวิตามิน C มีประโยชน์มากมาย ทั้งรักษาโรคและป้องกันโรค เช่น โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน แม้แต่รักษาและป้องกันหวัด
เรามารู้จักกับวิตามิน C กันซักเล็กน้อยว่า คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร มีโทษหรือไม่ และการนำมาใช้ในรูปแบบใดบ้าง วิตามิน C หรือชื่อเต็มๆว่า กรดแอสคอบิค (Ascobic Acid) เป็นวิตามินที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากการทานเข้าไป มีหน้าที่หลักๆ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะป้องกันร่างกายจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเกิดจากขบวนการสันดาบในร่างกาย หรือจากมลพิษ สิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ซึ่งจะทำให้เซลล์ต่างๆ เสื่อม หรืออาจเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์ที่ผิดปกติได้
วิตามิน C ยังทำหน้าที่เป็นตัวช่วย (Cofactor) ในขบวนการต่างๆ ของร่างกาย เช่น การสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อเกี่ยวกับผิวหนัง และของเส้นเลือดให้แข็งแรง ไม่เปราะ ยืดหยุ่นได้ดี และการหายของแผลต่างๆ เป็นปกติ วิตามิน C ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถป้องกัน และรักษาหวัดได้ และยังลดการอักเสบจากการติดเชื้อ
มีรายงานว่า วิตามิน C สามารถลดระดับคอเลสเตอรอล และคลายเครียด เนื่องจากสามารถเสริมการทำงานของต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต้านความเครียด ความต้องการในแต่ละวัน (Recommended Daily Intake) ควรได้รับ 40-90 mg/day โดยคนท้อง ให้นมลูก สูบบุหรี่ หรือบุคคลที่มีความเครียดทั้งจิตใจและร่างกาย เช่น กำลังป่วยอยู่ ควรได้รับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ผู้ชาย ผู้ใหญ่ 90 mg/ day ผู้หญิง ผู้ใหญ่ 75 mg/ day
ปัจจุบันเริ่มมีการใช้ Megadose โดยทานขนาดสูง 2000 mg/ day
โดยทางสถาบันได้รายงานผลวิจัยว่า
ได้ผลดีในแง่การรักษามะเร็ง และชลอวัย
เนื่องจากวิตามิน C มีความสามารถละลายน้ำได้ดี
เมื่อเราทานเข้าไป จะสลายและถูกดูดซึมง่าย และขับถ่ายออกทางปัสสาวะอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นแม้ทานขนาดสูงหรือมากเกินไปร่างกายก็สามารถขับถ่ายออกมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ได้ประโยชน์จากการทานขนาดที่สูงไม่มากนักและโอกาสเกิดพิษจากวิตามิน C ก็มีน้อยเช่นกัน ผลข้างเคียงของวิตามิน C การทานขนาดสูงมากกว่า 1000 mg อาจจะทำให้เกิดท้องเสีย และทานตอนท้องว่าง จะเกิดการระคายเคือง ทางเดินอาหาร เนื่องจากความเป็นกรด อาจจะเกิดอาการท้องอืด เฟ้อ บางครั้งถึงขั้น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว และแน่นอนเนื่องจากวิตามิน C ขับทางปัสสาวะ จึงทำให้ปัสสาวะมีสภาพเป็นกรด ดังนั้น จึงเพิ่มโอกาสเกิดการตกตะกอนของผลึก ต่างๆ กลายเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้
ดังนั้นจึงแนะนำให้ทานวิตามิน C พร้อมดื่มน้ำมากๆ
แหล่งของวิตามิน C ได้แก่
ผัก ผลไม้ เช่น พลัม อซีโลรา กูสแบรี่ แบลคเคอเรนท์ บลอคเคอรี่
พริกหวาน โขม กะหล่ำดอก
ในเนื้อสัตว์ และตับสัตว์ ก็เป็นแหล่งวิตามิน C เช่นกัน
การปรุงอาหารมีความสำคัญต่อคุณค่าวิตามิน C
เพราะจะลดปริมาณวิตามิน C ได้ถึง 60%
ดังนั้น ไม่ควรปรุงอาหารจนสุกเกินไป
การลวกผัก วิตามิน C จะละลายออกมาอยู่ในน้ำลวกผักค่อนข้างสูงเช่นกัน
ดีที่สุดคือ ผัก ผลไม้สดที่ไม่สุก เก็บมาใหม่ๆ จะมีปริมาณสูงที่สุด
การเก็บรักษาที่ดีที่สุด คือ แช่เย็น เพราะการอบแห้ง ดอง เชื่อม ทำให้ปริมาณวิตามินลดลงเช่นกัน
การขาดวิตามิน C พบในพวกควบคุมอาหารมากๆ มังสวิรัต สูบบุหรี่ โรคเกี่ยวกับการดูดซึม
อาการที่พบคือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดข้อ เลือดออกตามไรฟัน แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย
วิตามิน C ในรูปแบบอาหารเสริม มีทั้งรูปแบบเม็ดอัด แคปซูล ลูกอม ผสมน้ำหวาน-เครื่องดื่ม หรือผงละลายน้ำ
และมีนำมาทำในรูปใช้ภายนอก เช่น ซีรั่ม ครีม โลชั่น เพราะเชื่อว่าผิวจะดูไม่เหนื่อยล้า หมองคล้ำ ขาวใส เปร่งปรั่ง ไม่ร่วงโรยก่อนวัย
ถึงตอนนี้คงทราบข้อมูลของวิตามิน C แล้ว ก็สามารถหาได้จากอาหารทั่วๆ ไป ซึ่งก็เพียงพอที่ทำให้ไม่เกิดอาการขาดวิตามินแล้ว ส่วนใครจะเสริม ทานเพิ่มเติม หรือทาก็คงต้องพิจารณาเพื่อตัดสินใจ อย่าตัดสินจากข้อมูลของบริษัทที่โฆษณาถึงสรรพคุณที่ดีเท่านั้นและจะเป็นความคิดที่ผิดมาก ถ้าบางคนไม่ยอมทานผัก ผลไม้ แต่ทานอาหารเสริมแทน นอกจากจะไม่ให้ประโยชน์เท่าอาหารจริงๆ แล้วยังเสียเงินโดยใช่เหตุครับ
นพ.ธัญธรรศ โสเจยยะ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง รพ.วิภาวดี
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น